วิธีการทำ Action ในโปรแกรม Photoshop หรือการทำ Shotcut ไว้ใช้งานแบบง่ายๆ

1.การทำบันทึก Action ขั้นที่ 1 เปิดภาพที่ถ่ายขึ้นมาเลือกเครื่องมือ Action



2.การทำบันทึก Action ขั้นที่ 2 สร้าง Folder Action ขึ้นมา

3.การทำบันทึก Action ขั้นที่ 3 สร้าง Create new action ขึ้นมา

4.การทำบันทึก Action ขั้นที่ 4 เลือก shotcut ว่าเราจะใช้ CLT + F1, F2, หรือ F3 ตามที่ต้องการ


5.การทำบันทึก Action ขั้นที่ เริ่มเทพ ก้อเริ่มทำการบันทึก action

6.การทำบันทึก Action ขั้นที่ กำลังจะเทพ เลือกเมนู image / image size ตั้งหน่วยเป็นนิ้ว แล้วใส่ค่าแนวนอนให้เป็น 6 นิ้ว จะเห็นว่าแนวตั้งจะได้ 4.5


7.การทำบันทึก Action ขั้นที่ เทพจริงๆละ เลือกเมนู image / canvas size ตั้งหน่วยเป็นนิ้ว แล้วใส่ค่าแนวตั้งให้เป็น 4 นิ้ว กด Ok กด Proceed ก็จะได้รูปภาพที่ Crop size 4x6inc



8.การทำบันทึก Action ขั้นที่ พี่เทพตัวจริงละครับ กด stop playing/recoding ก็จะได้ shotcut Action ไว้ใช้งานแบบง่ายๆ




9.ต่อไปก็เปิดรูปขึ้นมา กด shotcut Action ที่เราเซตไว้ เช่น CLT+ F2 โปรแกรมก็จะ Crop และ image size ให้เรียบร้อย




ชอร์ตคัต (Shortcut) หมายถึง เครื่องมือที่ช่วยในการเรียกใช้โปรแกรมได้อย่างรวดเร็วและสามารถเข้าถึงโปรแกรมหรือแฟ้มข้อมูลที่ต้องการได้ทันที ชอร์ตคัตจะวางไว้บนเดสก์ท็อปได้เลย ซึ่งต่างจากสัญลักษณ์ในโปรแกรมวินโดวส์ ที่ต้องอยู่ภายในกรอบหน้าต่างอันใดอันหนึ่งเท่านั้น

การสร้าง Shortcut เพื่อความสะดวกในการเรียกใช้โปรแกรมShortcut (อ่านว่า ช๊อตคัท) เป็นไฟล์ที่ใช้สำหรับเรียกใช้งานโปรแกรม หรือคำสั่งสร้างเพื่อสะดวกในการใช้งาน จะมีรูปภาพแทนคำสั่ง (ไอคอน) โดยเราสามารถสร้าง shortcut มาวางไว้ที่desktop (หมายถึง หน้าต่างของ windows) เวลาเรียกใช้งาน ก็เพียงแต่คลิกที่ shortcut นั้นๆโปรแกรมก็จะเริ่มทำงาน ซึ่งจะทำให้สะดวกเวลาเรียกใช้โปรแกรมนั้นๆ ขั้นตอนการสร้าง shortcut คลิกปุ่ม Start และคลิกเลือกไปยังโปรแกรมที่ต้องการสร้าง shortcut (ตัวอย่างจะสร้าง shortcut จากโปรแกรมpaint) คลิกขวาที่โปรแกรม คลิกคำสั่ง Create Shortcut โปรแกรมจะสร้าง shortcut ชื่อ Paint2 ถ้าต้องการเปลี่ยนชื่อ ให้คลิกเลือกไอคอน Paint2 จากนั้นกดปุ่ม F2 พิมพ์ชื่อโปรแกรมใหม่ตามต้องการ

สร้าง Shortcut key ครับ กด หลัง shortcut key ที่เป็นคำว่า none จากนั้นกดเลือก key ที่ต้องการโดยกดเลยครับ เช่นผมจะใช้ "Ctrl+Shift + Alt + F4"

hot key

การใช้งานหน้าต่างแต่ละหน้าต่าง ( WINDOWS)
เปลี่ยนไปที่โปรแกรมถัดไป = ALT+TAB
เปลี่ยนไปที่โปรแกรมก่อนหน้า = ALT+SHIFT+TAB
แสดงเมนู เริ่ม ของ Windows =CTRL+ESC
ปิดหน้าต่างฐานข้อมูลปัจจุบัน = CTRL+W
เปลี่ยนไปหน้าต่างฐานข้อมูลต่อไป =CTRL+F6
เปลี่ยนไปหน้าต่างฐานข้อมูลก่อนหน้า = CTRL+SHIFT+F6
ย้ายไปที่ตัวเลือก หรือกลุ่มตัวเลือกต่อไป = TAB
ย้ายไปที่ตัวเลือก หรือกลุ่มตัวเลือกก่อนหน้า =SHIFT+TAB
สั่งประมวลผลบนปุ่ม ในขณะที่อยู่ที่ปุ่มนั้นๆ = SPACEBAR
เลือกตัวเลือก หรือจากกล่องกาเครื่องหมายตัวอักษรที่ขีดเส้นใต้ในชื่อตัวเลือก = ALT+ แป้นตัวอักษร
ยกเลิกคำสั่งและปิดกล่องข้อความ = ESC
ย้ายไปที่ตอนต้นของรายการ = HOME
ย้ายไปที่ตอนท้ายของรายการ = END
ย้ายไปทางซ้าย หรือขวาหนึ่งอักขระ = ลูกศรซ้าย หรือ ลูกศรขวา
ย้ายไปทางซ้าย หรือขวาหนึ่งคำ = CTRL+ลูกศรซ้าย หรือ CTRL+ลูกศรขวา
เลือกจากจุดแทรกไปที่ตอนต้นของรายการ = SHIFT+HOME
เลือก หรือยกเลิกการเลือกหนึ่งอักขระไปทางซ้าย = SHIFT+ลูกศรซ้าย
เลือก หรือยกเลิกการเลือกหนึ่งอักขระไปทางขวา = SHIFT+ลูกศรขวา
เลือก หรือยกเลิกการเลือกหนึ่งคำไปทางซ้าย =CTRL+SHIFT+ลูกศรซ้าย
เลือก หรือยกเลิกการเลือกหนึ่งคำไปทางขวา = CTRL+SHIFT+ลูกศรขวา

การเลื่อนไปมาระหว่าง RECORD
ย้ายไป Field ต่อไป = TAB
ย้ายไป Field ก่อนหน้า = SHIFT+TAB
ย้ายไป Field สุดท้าย =END
ย้ายไป Field สุดท้าย ของ RECORD สุดท้าย = CTRL+END
ย้ายไป Field แรก =HOME
ย้ายไป Field แรก และ Record แรก = CTRL+HOME
ย้ายไป Record ถัดไปที่ Field เดิม = CTRL+PAGE DOWN
ย้ายไป Record ก่อนหน้าที่ Field เดิม CTRL+PAGE UP
ย้ายไปส่วนต่างๆของ FORM เช่น Header Detail ( ข้อมูล ) และ Footer = F6
คล้าย F6 แต่เป็นการย้ายกลับ = SHIFT+F6
เข้าไปใน SubForm = SHIFT+TAB
ออกจาก SubForm = CTRL+TAB


การใช้งาน COMBO BOX
บังคับให้ Combo Box เปิด = F4 or ALT+DOWN ARROW
บังคับให้ข้อมูลใน Combo Box เปลี่ยนแปลงตามข้อมูลปัจจุบัน = F9
ย้ายไปบรรทัดถัดไป = DOWN ARROW
ย้ายไปหน้าถัดไป = PAGE DOWN
ย้ายไปบรรทัดก่อนหน้า = UP ARROW
ย้ายไปหน้าก่อนหน้า =PAGE UP
ออกจาก ComboBox = TAB

การบันทึก คัดลอก
Copy ข้อมูลที่กำลังเลือก แล้วเก็บไว้ใน clipboard = CTRL+C
ลบข้อมูลที่กำลังเลือก แล้วเก็บไว้ใน clipboard ( Cut ) =CTRL+X
ย้ายข้อมูลที่คัดไว้ใน clipboard มา ( Paste ) =CTRL+V
ลบข้อมูล ตัวก่อนหน้า =BACKSPACE
ลบข้อมูล = DEL


การบันทึกแก้ไข
Undo ( เรียกการแก้ไขครั้งสุดท้ายคืนมา ) =CTRL+Z or ALT+BACKSPACE
ยกเลิกการแก้ไขที่กำลังพิมพ์อยู่ =ESC
ใส่วันที่ปัจจุบัน =CTRL+SEMICOLON (;)
ใส่เวลาปัจจุบัน =CTRL+COLON (:)
ใส่ค่า Default ของ Field = CTRL+ALT+SPACEBAR
คัดลอกข้อมูลจาก Record ก่อนหน้ามาลงใน Field ปัจจุบัน = CTRL+APOSTROPHE (')
เพิ่ม Record = CTRL+PLUS SIGN (+)
ลบ Record ปัจจุบัน = CTRL+MINUS SIGN (-)
Save Record ปัจจุบัน = SHIFT+ENTER
Switch ค่าใน checkbox =SPACEBAR
ขึ้นบรรทัดใหม่ =CTRL+ENTER
คำนวณค่าที่อยู่บนจอใหม่ =F9
บังคับให้มีการอ่านข้อมูลใหม่อีกครั้ง =SHIFT+F9

การเลือกซื้อคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ประกอบ
Computer หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ ในที่นี้จะกล่าวถึง Computer PC หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ พีซี อะไรจะเป็นตัววัดความคุ้มค่าของ พีซี ได้ดีที่สุด เท่าที่เคยใช้ๆ ก็เห็นจะเป็นซอฟต์แวร์ทดสอบ หรือไม่ก็ราคาที่แพง บางคนก็มองแค่ภายนอกด้วยซ้ำว่าเครื่องนี้ดูสวยดี ใช้ซีพียูความเร็วสูงๆ แถมราคาสูงๆ ก็ซื้อเลย แต่ไม่ได้มองเจาะไปถึงการนำไปใช้งานของตัวเองเลยว่าจะนำไปใช้ได้เต็มประสิทธิภาพได้มากแค่ไหน แต่ก็นี่แหละคนไทย


เครื่อง Computer ชุดที่ขายดีที่สุด ณ ปัจจุบัน ก็เห็นจะปฏิเสธ เครื่อง คอมพิวเตอร์ สำเร็จรูปที่จัดโดยรัฐบาล ในโครงการเครื่อง คอมพิวเตอร์ (Computer) เอื้ออาทร ไปไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะสามารถจุดกระแสให้ประชาชนหันมาใช้เครื่อง Computer กันมากขึ้นแล้ว ก็ยังเป็นการกระตุ้นตลาด เครื่อง คอมพิวเตอร์ ในบ้านเราด้วย ทำให้ผู้ผลิต เครื่อง Computer รายต่างๆ ขายดิบขายดีไปตามๆ กัน การเลือกซื้อ เครื่อง คอมพิวเตอร์ ของผู้ใช้ทั่วๆไปก็จะมีอยู่ 2 แบบ สำหรับแบบแรกนั้นก็คงจะเดินไปจัดสเปคเครื่องตามร้านขาย อุปกรณ์ Computer กันเอง เปรียบเทียบราคาของแต่ละร้านหาร้านที่มีราคาถูกแล้วก็นำไปประกอบด้วยตนเอง หรือไม่ก็ให้ทางร้านที่เราซื้อ อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ ร้านใดร้านหนึ่งเป็น ผู้ประกอบเครื่องให้ ซึ่งบางทีร้านเขาอาจจะคิดค่าบริการในส่วนนี้เพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อย สำหรับการเลือกซื้อแบบแรกนั้นน่าจะเหมาะสำหรับ ผู้ที่มีความรู้ทางด้าน อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ อยู่บ้าง มาดูแบบที่สองกันบ้างครับ สำหรับการเลือกซื้อแบบที่สองนั้นน่าจะเหมาะกับผู้ใช้มือใหม่ หรือผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้ในด้าน อุปกรณ์ Computer เลย ซึ่งผู้ใช้ ประเภทนี้มักจะให้ทางร้านเขาจัดสเปคให้เลย โดยจะกำหนดราคาเครื่องที ต้องการใช้ให้ทางร้านไป หรือผู้ใช้บางคนที่ไม่ต้องการความยุ่งยากในการเลือกซื้อ หรือต้องการ การรับประกันจากผู้ผลิตที่ดีๆ ก็อาจจะหันไปมอง เครื่อง Computer ที่เป็น คอมพิวเตอร์ แบรนด์เนมจากผู้ผลิตทั้งใน หรือต่างประเทศที่นำออกมาวางขายในตลาดบ้านเรากันมากมาย หลากหลายยี่ห้อ ถึงแม้ว่าในปัจจุบันผู้ใช้จะสามารถซื้อ เครื่อง Computer ได้ง่ายขึ้นเพียงแค่ชี้นิ้ว หรือแค่บอกความต้องการนำไปใช้งานของตนกับผู้ขาย เพื่อให้ผู้ขายจัดสเปคเครื่องให้ แล้วก็เหลือ เพียงแค่ขนเครื่องที่ซื้อมากลับไปบ้านเท่านั้นเอง
ซึ่งบางทีผู้ซื้อก็อาจจะเสียเปรียบเพราะอุปกรณ์ที่ทางร้านเขาจัดให้นั้นอาจจะมีราคาที่ถูกกว่าเงินที่ท่านจ่าย หรืออาจจะติดตั้งอุปกรณ์ที่ไม่มีคุณภาพให้ เพื่อให้ทางร้านได้ กำไรเยอะๆ จากตรงส่วนนี้ ซึ่งสำหรับ เครื่อง คอมพิวเตอร์ สำเร็จรูปที่จัดโดยค่ายผู้ผลิตแบรนด์เนมต่างๆก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะถ้าเครื่องมีปัญหาผู้ซื้อก็สามารถส่งเคลมได้ทันที แต่สำหรับเครื่องที่ทางร้านจัดสเปคให้นั้น ซึ่งถึงแม้จะมีการรับประกัน Void จากทางร้านมาแล้ว แต่บางทีอุปกรณ์บางชิ้นก็อาจไม่ได้คุณภาพและทางผู้ผลิตก็ไม่รับประกันด้วย เช่น พวก อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ ปลอมต่างๆ ดังนั้นก่อนที่จะซื้อ เครื่อง Computer คู่ใจซักเครื่อง เราลองมาดูหน้าที่การทำงานของอุปกรณ์แต่ละชิ้น รวมถึงวิธีการเลือกซื้อ แบบมี ประสิทธิภาพ ทำยังไงไม่ให้โดนหลอกกันครับ



CPU : ควรเลือกใช้ตามประเภทของงาน เช่น งานเอกสารทั่วไป เล่นเกม หรืองานทางด้านมัลติมีเดีย ซึ่งแต่ละงานจะต้องการความเร็ว ความละเอียดในการแสดงผลแตกต่างกัน เช่น
Intel Pentium : รุ่น Celeron ความเร็ว 400-500 MHz
AMD : รุ่น K6-III ความเร็ว 400 MHz ขึ้นไป
Cyrix : รุ่น M II+ 450 MHz หรือ M III

Mainboar เพื่อรองรับ CPU ที่เราได้เลือกมาแล้ว ควรเลือกแบบ ATX เพราะทำงานได้รวดเร็ว มีพื้นที่ในการจัดวางอุปกรณ์ได้เหมาะสม ระบาความร้อนได้ดี มีหลายยี่ห้อ เช่น Abit, Aopen, Intel



RAM : ควรเลือกขนาดความจุอย่างน้อย 64 MB ความเร็ว 100 MHz ขึ้นไป และเลือกยี่ห้อที่เชื่อถือได้ เช่น ฮิตาชิ ฮุนได แอลจี เอ็นอีซHard


Disk : ควรเลือกแบบ UltraDMA/66 มีความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูล 66 MB/s ความจุ 4.3 GB และการรับประกัน 3 ปี



VGA Card : การ์ดแสดงผลส่วนใหญ่จะใช้ 3D Card เพราะประมวลผลภาพ 3 มิติได้ ขนาดหน่วยความจำมีตั้งแต่ 32 , 64, 128 และ 256



MB ยี่ห้อที่นิยมใช้ เช่น Addonics, SIS6326, Colormax S3 Savage4 Millennium G400, WinFast S320V เป็นต้น


Sound Card : ปัจจุบันมีซาวด์การ์ดแบบออนบอร์ดติดตั้งให้เรียบร้อยแล้ว

Drive : ความเร็วมาตรฐาน 45-50 X หน่วยความจำ 128-256 KB ยี่ห้อที่นิยมใช้ เช่น AOpen, Asus, CTX, LG, Philips,



Pioneer, Sony ป็นต้น Monitor : ควรเลือกจอ CRT เพราะสามารถปรับความละเอียดสูงสุดเพื่อความสบายตาได้มากกว่าจอ LCD และมีขนาดจอให้เลือกมากกว่า

Case : ควรเลือกซื้อ Case ที่มีขนาดพื้นที่ติดตั้งอุปกรณ์กว้าง ๆ มีพัดลมระบายความร้อนมาก ๆ




Power Supply : ควรมีกำลังจ่ายไฟ 350-450 วัตต์ จะทำให้การพ่วงต่อกับอุปกรณ์อื่น ๆ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น



Modem : ปัจจุบันใช้การเชื่อมต่อแบบอะนาล็อก 56 K หรือแบบความเร็วสูง ADSL มีทั้งติดตั้งภายในและภายนอก




Mouse : ควรเลือกเมาส์ที่มีล้อสำหรับเลื่อนหน้าจอ (Wheel Mouse) เป็นแบบไร้สาย หรือมีความรวดเร็วในการเลือกใช้งานโปรแกรมต่าง ๆ




Keyboard : ควรเลือกซื้อตามความต้องการของผู้ใช้เป็นหลัก หากต้องการคุณภาพและมีปุ่มฟังก์ชันการทำงานมาก ๆ จะมีราคาสูง

Speaker : ควรเลือกลำโพงให้สอดคล้องกับการ์ดเสียง จะได้เสียงที่มีคุณภาพ ขนาด 120 วัตต์ขึ้นไปเพื่อให้สะดวกในการให้ความบันเทิงทางด้านมัลติมีเดียหรือต่อพ่วงกับอุปกรณ์อื่น ๆ ได้เต็มรูปแบบ


การเลือกซื้อ Printer :
- ถ้าใช้งานทั่วไปควรเลือกประเภท Inkjet ความละเอียดไม่ต่ำกว่า 1200 x1200 จุดต่อตารางนิ้ว สามารถพิมพ์เอกสาร รูปภาพขาวดำ และภาพสีได้ ต้องดูว่าเครื่องพิมพ์ Inkjet รุ่นนี้ใช้ตลับน้ำหมึกรุ่นไหน ตลับสีกับขาวดำราคาเท่าไหร่ เพื่อเปรียบเทียบราคาให้คุ้มค่ากับการใช้งาน



- ถ้าต้องการปริมาณงานพิมพ์มาก ๆ ต้องใช้เครื่องประเภท Lazer มีราคาสูง แต่สะดวกรวดเร็ว


การเลือกซื้อ Scanner :
ควรเลือกหัวสแกนแบบ CCD ความละเอียด 1200 x1200 จุดต่อตารางนิ้วขึ้นไป สแกนเนอร์บางรุ่นสามารถสแกนแผ่นฟิล์ม แผ่นสไลด์ได้ แต่มีราคาแพงพอสมควร

การเลือกซื้อ Operating System :
ในปัจจุบันนิยมใช้ระบบปฏิบัติการ Windows XP, 2000


สรุป
การเลือกซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ เราต้องทราบว่า
1. เรามีความต้องการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ให้ทำอะไรให้เราบ้าง เช่น ใช้พิมพ์เอกสาร เล่นเกม ทำงานด้านกราฟิกส์ ท่องอินเทอร์เน็ต
2. ราคาเครื่อง ควรคำนึงถึงงบประมาณของเราหากใช้สำหรับงานทั่วไป ราคาจะไม่แพงมาก แต่หากต้องใช้ด้านกราฟิกส์ ต้องใช้สเป็คเครื่องที่สูง ราคาก็จะสูงตาม
3. เลือกดูตามศูนย์ไอที ซึ่งเป็นศูนย์การค้าที่ขายเกี่ยวกับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และสำนักงาน สอบถามพนักงานขายแต่ละร้านเพื่อความเข้าใจที่ตรงกับความต้องการของเรา
4. สเป็คเครื่อง ควรอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับสเป็คของเครื่องที่มีอยู่ในแผ่นพับ แผ่นปลิว ของแต่ละบริษัท ซึ่งจะมีความแตกต่างกันทางด้านยี่ห้อ รุ่น ขนาด ความเร็ว ความจุ หน่วยความจำ ของแถม
5. การบริการหลังการขาย ข้อนี้มีความสำคัญอย่างมาก หากเครื่องมีปัญหา และไม่มีบริการหลังการขาย เราจึงควรเลือกรูปแบบการบริการมีอยู่ 2 แบบคือ
5.1 การรับประกันสินค้าแบบรวมค่าแรง เมื่อเครื่องเสีย ทางร้านจะส่งช่างมารับไปซ่อมจนเสร็จ โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องที่มียี่ห้อและราคาค่อนข้างสูง
5.2 การรับประกันแบบไม่รวมค่าแรง หากเครื่องเสีย เราต้องยกเครื่องไปซ่อมเอง ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องที่มีราคาถูก
6. ระยะเวลาในการรับประกันสินค้า จะขึ้นอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์แต่ละชิ้น ปกติจะมีการรับประกัน 1 ปี แต่ถ้าเป็นเครื่องที่มียี่ห้อ มีราคาแพง อาจรับประกันถึง 3 ปี
7. รายละเอียดในการประกันชิ้นส่วนอุปกรณ์
7.1 ฮาร์ดดิสค์ (Harddisk) บริษัทผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงจะรับประกัน 3 ปี ถ้าเสียหายภายใน 1 เดือนแรกทางบริษัทจะเปลี่ยนฮาร์ดดิสค์ใหม่ แต่ไม่รวมถึงฮาร์ดดิสก์ไหม้เพราะเสียบแหล่งจ่ายไฟผิดขั้ว หรือทำหล่นกระแทกอย่างรุนแรง
7.2 เมนบอร์ด (Mainboard) ส่วนใหญ่จะรับประกัน 1 ปี แต่ไม่รวมถึงไหม้เพราะเสียบแหล่งจ่ายไฟผิดขั้ว เสียบการ์ดต่าง ๆ ลงไปอย่างแรง ทำให้หักหรือสายวงจรขาด
7.3 ซีพียู (CPU) บริษัทผู้ผลิตที่มีชื่อเสียงจะรับประกัน 3 ปี
7.4 หน่วยความจำ (Ram) หากราคาแพงจัดอยู่ในเกรดที่ดีจะรับประกันตลอดอายุการใช้งาน แรมเกรดทั่วไปราคาจะถูกกว่ามาก รับประกันเพียง 1 ปี
7.5 ฟล็อปปี้ดิสก์ (Floppy Disk) หากมีราคาแพงรับประกัน 1 ปี ราคาถูกจะรับประกันเพียง 1 เดือน
7.6 ซีดีรอม (CD-ROM) รับประกันเพียง 1 ปี หากเสียหายหรือมีปัญหาใด ๆ ให้ส่งทางร้านภายใน 15 วัน ทางร้านจะเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่
7.7 การ์ดจอและการ์ดเสียง (Video & Sound Card) รับประกัน 1 ปี ส่วนมากอุปกรณ์นี้มักไม่เสีย ควรตรวจเช็คว่าเสียบการ์ดแน่นดีหรือเปล่า
8. แหล่งจ่ายไฟ (Power Supply) รับประกัน 1 ปี ควรใช้ขนาด 250 W. เป็นอย่างต่ำ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาไฟไม่พอเมื่อต้องต่อพ่วงกับอุปกรณ์หลายชนิด
9. ความคุ้มค่า ควรใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อย่างคุ้มค่าสมราคา ไม่ควรเปิดทิ้งไว้หากไม่ได้ใช้ จะได้ช่วยประหยัดพลังงานของชาติได้อีกทางหนึ่ง

สเป็คเครื่อง




ซีพียู Intel core2duot8300(2.4GHz,Bus800MHz,L2 3MB)
ชิปเซต IntelGM965Chipset+ICH8M
แรม DDR2-667 2 GB(Single Channel)
การ์ดแสดงผล IntelGMA x 3100 On Board
จอภาพ ขนาด12.1นิ้วความละเอียด1,2800x800พิกเซล(Wide Screen)
ฮาร์ดดิสก์ Western Digital 250 GB Serial ATA 5,400 rpm
ไดรว์ CD/DVD DVD Super multi
แลนไร้สาย Intel PRO/Wireless 4965 AGN(IEEE 802.11 a/b/g Draft-n)
แลน 10/100/1000 Gigabit LAN
โมเด็ม 56 K V 92 Modem
บลูทูธ Bluetooth2.0+EDR
Express Card Yes
Card Reader SD,MMC,MSPro
USB USB 2.03 พอร์ต (ซ้าย 2 และขวา 1 พอร์ต)
หัวต่อเสียง หูฟัง,ไมโครโฟน,S/PDIF
พอร์ตอื่นๆ VGA,S-Video
น้ำหนัก 2.3 kg.

เรามารู้จักกับ Pladao office
ปัจจุบันมีการตื่นตัวทางด้านกฎหมายลิขสิทธิ์ในประเทศไทยเป็นอย่างมาก จะเห็นได้จากเมื่อ เร็ว ๆ นี้มีการคุมเข้มการขายซอฟต์แวร์เถื่อนตามศูนย์การค้าไอทีชั้นนำอย่างพันธุ์ทิพย์ หรือเสรีเซ็นเตอร์ผลจากการตรวจจับผู้ละเมิดกฎหมายทางด้านทรัพย์สินทางปัญญานี้ ทำให้ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ระดับองค์กรหรือแม้แต่ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ตามบ้านที่จำเป็นต้องใช้ซอฟต์แวร์ต่างๆโดยเฉพาะซอฟต์แวร์ที่ใช้กัน อย่างแพร่หลายอย่างไมโครซอฟต์ออฟฟิศ ไม่สามารถทำสำเนาซอฟต์แวร์หรือซื้อแผ่นก็อปปี้ของโปรแกรมในราคาถูกได้อีกต่อไป เช่นเดียวกับหน่วยงานหรือองค์กรต่างๆ ที่มีความจำเป็นต้องใช้โปรแกรม Word หรือ Excel เพื่อจัดเก็บเอกสารภายในองค์กร ไม่สามารถที่จะใช้แผ่นก็อปปี้เพียงชุดเดียวของไมโครซอฟต์ออฟฟิศไปดำเนินการติดตั้งโปรแกรมบนเครื่องของหน่วยงานได้ทางเลือกใหม่ของซอฟต์แวร์สำนักงานที่มีฟังก์ชั่นการทำงานคล้ายกับไมโครซอฟต์ออฟฟิศ ได้แก่การเลือกใช้ฟรีแวร์อย่างโอเพนออฟฟิศ (Openoffice) สตาร์ออฟฟิศ (StarOffice) หรือปลาดาว ออฟฟิศ (Pladao office) ในที่นี้จะแนะนำโปรแกรมปลาดาวออฟฟิศ ซึ่งเป็นโปรแกรมที่บริษัท ซัน ไมโครซิสเต็ม ประเทศไทย ร่วมโครงการกับเนคเทค และได้ว่าจ้างกลุ่มผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ชั้นนำของ ประเทศไทยที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเขียนขึ้นเป็นการพัฒนาต่อจากโปรแกรมโอเพนออฟฟิศ ซึ่งเป็น โอเพนซอร์สโปรแกรมที่มีต้นตอมาจากบริษัทซันฯโดยเพิ่มความสามารถในการใช้ภาษาไทยไว้ในตัวซอฟต์แวร์นี้ด้วยทางเลือกใหม่ของซอฟต์แวร์สำนักงานที่มีฟังก์ชั่นการทำงานคล้ายกับไมโครซอฟต์ออฟฟิศ ได้แก่การเลือกใช้ฟรีแวร์อย่างโอเพนออฟฟิศ (Openoffice) สตาร์ออฟฟิศ (StarOffice) หรือปลาดาว ออฟฟิศ (Pladao office) ในที่นี้จะแนะนำโปรแกรมปลาดาวออฟฟิศ ซึ่งเป็นโปรแกรมที่บริษัท ซัน ไมโครซิสเต็ม ประเทศไทย ร่วมโครงการกับเนคเทค และได้ว่าจ้างกลุ่มผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ชั้นนำของ ประเทศไทยที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเขียนขึ้นเป็นการพัฒนาต่อจากโปรแกรมโอเพนออฟฟิศ ซึ่งเป็น โอเพนซอร์สโปรแกรมที่มีต้นตอมาจากบริษัทซันฯโดยเพิ่มความสามารถในการใช้ภาษาไทยไว้ในตัวซอฟต์แวร์นี้





ปลาดาว ออฟฟิศ คือ ชุดโปรแกรมสำนักงานที่รองรับการทำงานกับเอกสารภาษาไทย สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และมีโปรแกรมประมวลผลคำ (Word Processor) สร้างตารางคำนวณ (Spreadsheet) นำเสนองาน (Presentation) วาดภาพแบบเวกเตอร์ (Drawing) และโปรแกรมสมการคณิตศาสตร์ (Equation) ใช้ได้กับ 3 ระบบปฏิบัติการหลัก คือ Solaris, Linux, หรือ Windows นอกจากนี้ ปลาดาวมีคุณสมบัติการใช้งานเอกสารที่มาจากต่างระบบกันได้ (cross platform) ตัวอย่างจากการทดลองการใช้งาน ปลาดาวสามารถเปิดเอกสารที่สร้างขึ้นจาก Microsoft Excel หรือ Microsoft Word ขึ้นมาใช้ปรับปรุงแก้ไขได้ โปรแกรมหลักๆ ของปลาดาว ออฟฟิศมีดังนี้ 1. Writer เป็นโปรแกรมประมวลผลคำ (Word Processor) มีลักษณะการใช้งานคล้ายกับ Microsoft Word 2. Calc เป็นโปรแกรมตารางคำนวณ (Spreadsheet) มีลักษณะการใช้งานคล้ายกับ Microsoft Excel 3. Impress เป็นโปรแกรมนำเสนองาน (Presentation) มีลักษณะการใช้งานคล้ายกับ Microsoft PowerPoint 4. Draw เป็นโปรแกรมวาดภาพแบบเวกเตอร์ (Drawing) 5. Math เป็นโปรแกรมพิมพ์สมการคณิตศาสตร์ (Equation)
ปลาดาวออฟฟิศจึงเป็นทางออกของผู้ใช้ซอฟต์แวร์ออฟฟิศในภาวะคุมเข้มของกฎหมาย ลิขสิทธิ์ซอฟต์แวร์ในเมืองไทย ด้วยความสามารถในการใช้ภาษาไทยได้ และมีโปรแกรมหลักหลาย ตัวที่มีคุณลักษณะคล้ายกับโปรแกรมสำนักงานอย่าง Microsoft Office และสามารถดาวน์โหลดได้ ฟรีพร้อมกับติดตั้งได้ทุกเครื่องทุกแพลตฟอร์ม

วิวัฒนาการของ INTEL CPU
รุ่น 8080


ในปี ค.ศ. 1974 Intel ผลิต 8080 เป็น microprocessor แบบ 8 บิทออกจำหน่าย ประกอบด้วย ทรานซิสเตอร์ ประมาณ 6,000 ตัว ใช้สัญญาณนาฬิกาที่ความถี่ 2 MHz Ed Roberts เจ้าของบริษัท Micro Instrumentation Telemetry systems ได้จัดชุดคิท (ผู้ซื้อประกอบเอง) เครื่องคอมพิวเตอร์ โดยใช้ 8080 และลงโฆษณาในวารสาร Popular Electronic โดยมีราคา $397 ใช้ชื่อว่า Altair มีการสั่งซื้อเป็นหลายพันเครื่อง ทั้งที่เครื่องต้องโปรแกรม ด้วย สวิตช์ และแสดงผลทาง LED เท่านั้น ถือเป็น ไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องแรกๆ

รุ่น 8086
ในปี ค.ศ. 1978 บริษัท Intel ได้ผลิต 8086-8088 Microprocessor ออกสู่ตลาด เป็น microprocessor ขนาด 8 บิทโดยบริษัท IBM นำมาใช้กับเครื่อง PC ในตระกูล IBM PC หรือที่รู้จักกันในนาม XT และ CPU ตัวนี้ก็เป็นต้นแบบของ CPU ในสถาปัตยกรรม X86 ที่ Intel หรือแม้บริษัทอื่น นำมาผลิต CPU ที่ใช้กับเครื่อง PC จนถึงปัจจุบันนี้ (ยกเว้นก็แต่ตัว Intel เอง ซึ่งผลิต CPU ขนาด 64 บิต ที่ไม่ใช้สถาปัตยกรรม X86) 8088, 8086 เป็น CPU ที่ประมวลผลทีละ 8 บิต มีชุดคำสั่ง 76 คำสั่ง ระบบปฏิบัติการที่สนับสนุน CPU ตัวนี้ก็คือ DOS อันเลื่องชื่อของไมโครซอฟท์ นั้นเอง


รุ่น 8088
ในปี ค.ศ. 1980 บริษัท IBM เห็นว่า ตลาดของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นตลาดใหญ่ จึงสร้างเครื่อง IBM PC ออกขาย ในปีค.ศ. 1981 ทำให้มีการนำเอาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาใช้ในทางธุรกิจมากขึ้น IBM ได้ซื้อระบบปฏิบัตการ MSDOS และ ภาษา Basic จาก Microsoft เครื่อง IBM PC ใช้ Intel 8088 microprocessor เป็น microprocessor ขนาด 16 บิท หน่วยความจำ 64Kbyte floppy disk drive ขนาด160K ราคาเริ่มต้นที่ $1,565 – $2,880 IBM ขายได้ กว่า 13,500 เครื่อง ใน 4 เดือนแรก และต้องมีการจอง เนื่องจาก IBM ผลิตไม่ทั้ง

รุ่น 80286
ในปี ค.ศ. 1982 บริษัท Intel เริ่มผลิต 80286 microprocessor ในช่วงเวลา 6 ปีของการผลิต มีเครื่อง PC ประมาณ 15 ล้านเครื่อง ที่ใช้ CPU ตัวนี้ทั่วโลก โดย 80286 สามารถทำงานกับโปรแกรมที่เขียนให้กับ 8088 ได้
ยุคเริ่มต้น CPU ขนาด 16 บิตเริ่มจาก CPU ตัวนี้ โดยมีโหมดการทำงานอยู่ 2 โหมด คือ Standard mode และ Protected mode ( ระบบปฏิบัติการ Windows ที่ทำงานบนเครื่อง 286 จะทำงานใน Standard mode) มีการอ้างอิงตำแหน่งได้ 16Mbyte
รุ่น 80386
ในปี ค.ศ. 1985 บริษัท Intel ผลิต Intel386™ Microprocessor (80386) ออกจำหน่าย ภายในประกอบด้วย ทรานซิสเตอร์ กว่า 275,000 ตัว เป็น CPU เบอร์แรกที่ประมวลผลทีละ 32 บิต ทำให้สามารถจัดการหน่วยความจำได้ดีกว่า 80286 มาก แม้ว่า 80386 จะประมวลผลได้คราวละ 32 บิตก็ตาม แต่อุปกรณ์ต่างๆ ในเวลานั้นยังเป็นแบบ 16 บิตอยู่มาก Intel จึงได้ออกแบบ 80386SX ที่สามารถนำไปใช้กับเมนบอร์ดที่ออกแบบมาสำหรับ 80286 ได้ทันที นอกจากนี้ 80386SX ยังมีราคาถูกว่า 80386 อยู่มาก และเป็นรุ่นที่มีการใช้รูปแบบการทำงานเป็น Multitasking
รุ่น 80486
ความจริงก็คือ 80386 รุ่นปรับปรุงนั้นเองโดยได้เพิ่มตัวประมวลผลทางคณิตศาสตร์ (Math co-processor) เพิ่มหน่วยความจำ Cache ภายใน CPU ทำให้ 80486 ทำงานได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และได้เพิ่มการทำงานที่เรียกว่าpipeliningเข้าไป แต่เนื่องจากว่า 80486 ที่มี math co-processor มีราคาค่อนข้างสูง Intel จึงได้ออก CPU 80486SX ซึ่ง ได้ถอด math co-processor ออก ( ตัว 80486 ที่มี math co-processor เรียกว่า 80486DX) ทำให้มีราคาถูกลง ตัว 80486 เองได้มีการปรับปรุงขึ้นมาอีกขั้นขึ้นการทำงานในลักษณะที่เรียกว่า Clock doubling คือ เป็นการเพิ่ม Speed ของ Clock ให้สูงขึ้น เช่น 80486DX/2 ทำงาน Clock speed 40/50/60 MHz 80486DX4 ทำงานที่ Clock speed 100 MHz เป็นต้น จากการที่ Clock speed สูงขึ้น บวกกับการที่ได้เพิ่มอุปกรณ์บางอย่างเช่น หน่วยความจำแคชที่มากขึ้น ทำให้ CPU รุ่นนี้ได้รับความนิยมอยู่เป็นเวลานาน และทำให้มีบริษัทอื่น นอกจาก Intel เริ่มเข้ามาผลิต CPU สำหรับ PC ออกมาแข่งขันกัน ได้แก่ Cylix และ AMD เป็นต้น โดยในรุ่น80486นี้ได้มีการเริ่มใช้ระบบที่เรียกว่า pipeliningในCPU

Pipelining



เทคนิค Pipelining หรือที่เรียกว่า Instruction Pipelining เป็นกระบวนการทำงานของโปรเซสเซอร์ที่สามารถ อ้างอิงแอดเดรสปลายทางได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องการรอให้ข้อมูลที่กำลังมองหาอยู่นั้น ถูกจัดการเสร็จสิ้นเสียก่อน จึงค่อยอ้างอิงแอดเดรสต่อไป หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ขณะที่ข้อมูลกำลังเดินทางมายังโปรเซสเซอร์นั้น ตัวโปรเซสเซอร์สามารถปลดปล่อยแอดเดรสชุดต่อไป อย่างไม่รอช้า โดยไม่ต้องรอให้ข้อมูลวิ่งมาถึงตนเองเสียก่อน
ลักษณะนี้ จะเห็น แผนกอ้างอิงแอดเดรส ก็ทำงานของมันไป ขณะที่ข้อมูลกำลังเดินทางเข้ามา พร้อมกับข้อมูลที่เดินทางมาก่อนหน้านี้ ได้รับการจัดการในเวลาเดียวกัน


Pentium
เนื่องจากเริ่มมีบริษัทอื่นๆ ผลิต CPU สำหรับ PC ออกมาแข่งขันกับ Intel จึงทำให้ CPU รุ่นถัดมาของ Intel ไม่ใช้ชื่อเรียกเป็นหมายเลข ใช้เป็นชื่ออื่นแทน หลายท่านคงมีความเข้าใจ Pentium เป็น CPU ขนาด 64 บิต แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เนื่องจาก Pentium จะออกแบบมาคล้ายๆ กับใช้ 80486 สองตัวทำงานคู่ขนานกัน ทำให้กลไกการทำงานทั้งภายในและนอกตัว CPU เป็น 64 บิตไปโดยปริยาย CPU ของค่ายอื่นที่ออกมาในช่วงนี้ ก็มี AMD K5, Cylix 6x86 ซึ่งได้มีการเพิ่มความสามารถที่เรียกว่า Superscalar

Superscalar
โปรเซสเซอร์ที่มีมาในอดีต จะใช้จักรกลของการคำนวณและจัดการกับคำสั่ง เพียงชุดเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่า โปรเซสเซอร์ดังกล่าว จะสามารถทำงานในระบบ Pipelining ก็ตาม ลักษณะนี้ตัวโปรเซสเซอร์จะสามารถสร้างผลลัพธ์ ต่อหนึ่งชุดคำสั่งที่ได้รับด้วยเวลา คิดเป็น Clock Cycle จำนวนหนึ่ง แต่ด้วยการเพิ่มชุดของจักรกลการคำนวณและการจัดการ เข้าไปหลายๆชุด จะทำให้โปรเซสเซอร์สามารถจัดการกับคำสั่ง ได้มากกว่า 1 คำสั่งขึ้นไป ต่อหนึ่ง Clock Cycle ด้วยวิธีการ เช่นนี้ ทำให้โปรเซสเซอร์ Pentium ที่ถูกจัดว่า เป็นสถาปัตยกรรมแบบ Superscalar สามารถจัดการกับคำสั่ง ได้ถึง 2 คำสั่งภายในหนึ่งลูกคลื่นสัญญาณนาฬิกาเท่านั้น ซึ่งผิดกับ 80486 CPU ที่จะต้องใช้เวลาถึง 2 ลูกคลื่นสัญญาณนาฬิกา เพียงเพื่อจัดการกับ 1 คำสั่งเท่านั้น

Pentium PRO
เป็นรุ่นที่พัฒนาต่อจากPentium ซึ่งได้มีการเพิ่มประสิทธิภาพของ Superscalar ให้ดีขึ้นและได้มีการเปลี่ยนชื่อของRegister และที่สำคัญที่สุดคือการเพิ่มเทคโนโลยี Dynamic Executionซึ่งประกอบไปด้วย
- branch prediction
- data flow analysis
- speculative execution

Branch Prediction
เป็นวิธีการทำนายการไหลของโปรแกรมโดยการใช้ Branches หลายแขนง ( ในบางครั้งก็มีความเป็นไปได้ที่จะพยากรณ์แอดเดรสเป้าหมายของ Branch เงื่อนไข โดยอาศัยลักษณะพิเศษของการ Execute คำสั่ง ตัวอย่าง เช่น แอดเดรสเป้าหมาย ของ Branch Instruction ที่ควบคุม การทำงานลักษณะย้ำแบบ Loop นั้น หากคล้ายกับแอดเดรสของคำสั่งแรกใน Loop ก็จะทำการดึงออกมาใช้งานพร้อมกันแบบ Pipeline ได้ทันที) ซึ่งการใช้กรรมวิธี Multiple Branch จะช่วยให้การทำนายตำแหน่งของข้อมูลคำสั่งที่จะเข้าไปดึงออกมาได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยสามารถพยากรณ์ได้ว่า คำสั่งต่อไปที่โปรเซสเซอร์ต้องการจะนำมาจัดการนั้น อยู่ ณ ที่ใดของหน่วยความจำ ด้วยประสิทธิภาพสูงถึง 90% ซึ่งสามารถทำได้ เนื่องจากขณะที่โปรเซสเซอร์กำลัง ดึงคำสั่งจากหน่วยความจำอยู่นั้น มันจะมองคำสั่งชุดต่อไป จากโปรแกรมแบบล่วงหน้า ซึ่งลักษณะนี้จะช่วยให้เกิดการเร่งการไหลของงานสู่โปรเซสเซอร์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

Data Flow Analysis
เป็นการวิเคราะห์และสร้างหมายกำหนดการสำหรับคำสั่งที่ต้องการจะนำมาจัดการแบบมีลำดับ ที่เหมาะสม โดยไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับโปรแกรมที่กำลังติดต่ออยู่ โดยวิธีการ Data Flow Analysis นี้ ตัวโปรเซสเซอร์จะมองไปที่ รหัสคำสั่งทาง Software ที่ถูกถอดออกมาแล้ว ว่า เป็นชุดคำสั่งหรือข้อมูลที่พร้อมแล้วสำหรับการ Execute จัดการโดยโปรเซสเซอร์ หรือว่า เป็นเพียงรหัสคำสั่ง ที่ต้องพึ่งพาอาศัยคำสั่งหลักอื่นๆ ที่ยังไม่พร้อมที่จะให้โปรเซสเซอร์นำไปจัดการ ทำให้โปรเซสเซอร์สามารถจัดลำดับของคำสั่ง หรือข้อมูลที่จะนำมา Execute จัดการได้อย่างเหมาะสม และเป็นไปตามจังหวะจะโคน

Speculative Execution
เป็นวิธีการรเพิ่มอัตราของการ Execution หรือการจัดการกับคำสั่งที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้หลักการมองไปข้างหน้าที่โปรแกรม เคาน์เตอร์ (Program Counter) โดยที่ Program Counter หรือ PC จะทำหน้าที่สร้างแอดเดรสที่ต้องการจะ Execute สำหรับรอบต่อไปของโปรเซสเซอร์ พูดง่ายๆก็คือ ขณะที่โปรเซสเซอร์กำลังจะปลดปล่อยแอดเดรสออกไปที่ปลายทางนั้น มันจะเตรียมการป้อนค่าแอดเดรสถัดไป ที่มันต้องการใช้ในโปรแกรม เคาน์เตอร์แบบล่วงหน้า ทำให้ประหยัดเวลา ไม่ต้องรอคอย และสามารถส่ง แอดเดรสไปยังเป้าหมายทีเดียวถึง 5 ตำแหน่งแอดเดรสในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดกระแสของข้อมูล และ แอดเดรสไปกลับระหว่างโปรเซสเซอร์ และเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง Pentium MMX, AMD K63DNOW, Cylix 6X86MX คือ Pentium ที่เพิ่มความสามารถในเชิงมัลติมิเดีย ( MMX สำหรับ Pentium, 3DNOW สำหรับ AMD) และนอกจากนี้ยังได้เพิ่ม หน่วยความจำแคช Level 2 เข้ามาในตัว CPU มากน้อยแตกต่างกันในแต่ละค่าย ซึ่งได้มีการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ที่ชื่อว่า SIMD (Single Instruction Multiple Data ) เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้คำสั่งเดี่ยวๆ เพียงคำสั่งหนึ่ง สามารถใช้กับข้อมูลได้หลายๆชุดพร้อมกัน ในเวลาเดียวกัน ซึ่งตรงนี้เป็นข้อดี ถ้าหากจะต้องเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานแบบซ้ำๆกันบน ชุดของข้อมูลที่แตกต่างกัน ตัวอย่างของการทำงานประเภทนี้ ได้แก่การแปลงข้อมูลสำหรับการสร้างภาพที่มีด้านหลายๆด้าน (Polygon) ในทางคณิตศาสตร์ ให้เป็นภาพ Polygon แบบ 3D บนจอภาพ ซึ่งปกติกระบวนการนี้ จะต้องใช้การคำนวณทางคณิตศาสตร์ที่ค่อนข้างซับซ้อน

Pentium II
Celeron, PentiumII, Pentium III จะมีการเพิ่มส่วนขยาย MMX ออกไป ปรับสถาปัตยกรรมภายในใหม่ ทำให้มีการประมวลผลในเชิงจุดทศนิยมได้ละเอียดและถูกต้องมากขึ้น เพิ่มความสามารถในเชิง 3 มิติเข้าไป ส่วน Celeron จะมีคุณสมบัติอื่นๆ เหมือนกับ Pemtium เพียงแต่ตัด L2 ( หน่วยความจำแคช ระดับ 2) ออกไปให้น้อยกว่า หรือไม่มีเลยในบางรุ่น ส่วน CPU ของค่ายอื่นๆ ก็ปรับปรุงขึ้นเป็น AMD K6, AMD K7 ตามลำดับ นอกจากนี้ CPU ในตระกูลเหล่านี้ยังสามารถทำงานกับ Clock speed สูงๆ ได้ 600 - 700 MHz เลยที่เดียว (แล้วแต่รุ่นของ CPU)

Pentium
รุ่นแรกมีสถาปัตยกรรมแบบเดียวกับ Pentium แต่เพิ่มชุดคำสั่งที่ใช้ในการประมวลผล Multimedia เข้าไปที่เรียกว่า KNI หรือ MMX2 หรือ SSE (Steamming SIMD Extension) และมีการลดขนาด แคช จาก 512 KB เป็น 256 KB ทำงานที่ความเร็วเดียวกับ CPU โดยในปัจจุบัน Pentium III จะถูกแบ่งออกเป็นหลายรุ่นโดยจะมีรหัส E และ B ต่อท้าย โดย E มีความหมายว่าเป็น CPU ที่ใช้สถาปัตยกรรม 0.18 Micron ซึ่งจากเดิมจะเป็นแบบ 0.25 Micron ส่วน B มีความหมายว่า เป็น CPU ที่ใช้ Bus 133 MHz ซึ่ง CPU ในรุ่นนี้ยังได้มีการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรมบางอย่าง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ CPU ให้สูงขึ้นกว่าเดิม และใช้ Packet แบบ FCPGA

Pentium IV

Pentium 4 เป็น CPU รุ่นล้าสุดซึ่งสนับสนุนความเร็ว Bus ที่ 400 MHz และมีการเพิ่มชุดคำสั่งใหม่เข้าไปที่เรียกว่า SSE2 ซึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการประมวลผล Multimedia ดีขึ้น
Itanium หรือ เดิมชื่อ Merced ซึ่งเป็น CPU สำหรับ Server หรือ Workstation Itanium นี้ มี Transistor อย่ 2.5 ล้านตัว บรรจุอยู่ใน Cartridge ซึ่งจะมีการรวมเอา Cache ระดับ 3 ขนาด 4 M เข้าไว้ด้วย แถมยังมีการนิยาม คุณสมบัติใหม่อีก คือ BSB หรือ Back-Side Bus ซึ่งจะทำให้ Cache ระดับ 3 นั้น สามารถทำงานด้วยความเร็วเท่าๆ กับ CPU ได้เลย แม้ว่าจะ ไม่ได้อยู่บนแผ่น Die เดียวกันกับ CPส่วน FSB หรือ Front-Side Bus นั้นจะใช้ระดับ 266 ล้าน Transfers per Second ซึ่งจะมากเป็นเท่าตัว ของ Bus 133 MHz on ซึ่งCPUรุ่นนี้ประมวลผลทีละ64 bit

SledgeHammer
SledgeHammer หรือมีชื่อเป็นทางการว่า Opteron ซึ่งจะเป็นซีพียูในระดับไฮเอนด์สำหรับเซิร์ฟเวอร์และเวิร์กสเตชั่นที่ต้องการความเร็วสูงเป็นพิเศษ SledgeHammer เป็น CPU 64 Bit แต่จะสนับสนุนการทำงานของ CPU มากกว่า 2 ตัวขึ้นไป
Sledgehammer มีรีจีสเตอร์สำหรับคำนวนเลขทศนิยม 16 ตัว มีรีจีสเตอร์สำหรับงานทั่วไป (General-purpose register GPR) 16 ตัว มีแคช L1 128KB L2 512 - 2MB เป็น CPU แบบ socket A ใช้ Mainboard ที่มี Clock Speed 266 MHz และออกแบบวงจรขนาด 0.13 ไมครอน และใช้การเชื่อมต่อโดยทองแดงในขบวนการผลิต



ข้อแตกต่างระหว่างDRAM กับ SRAM
DRAMต้องการการรีเฟรช (Refresh) เซลเก็บข้อมูลหรือการประจุไฟ (Charge) ในทุกๆ ช่วงมิลลิวินาที ในขณะที่SRAMไม่ต้องการการรีเฟรชเซลเก็บข้อมูล เนื่องจากมันทำงานบนทฤษฎีของการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้าซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงใน 2 ทิศทาง ไม่เหมือนกับเซลเก็บข้อมูลซึ่งเป็นเพียงตัวเก็บประจุไฟฟ้าเท่านั้น โดยทั่วไป



SRAM มักจะถูกใช้เป็นหน่วยความจำแคช (Cache Memory) ซึ่งโปรเซสเซอร์สามารถเข้าถึงได้เร็วกว่า ในขณะที่ DRAM จะเก็บทุกๆบิตในเซลเก็บข้อมูล ซึ่งประกอบขึ้นด้วยกลุ่มตัวเก็บประจุ (คาปาซิเตอร์; Capacitor) และทรานซิสเตอร์ (Transistor) คาปาซิเตอร์จะสูญเสียประจุไฟฟ้าอย่างรวดเร็ว และนั่นเป็นเห็นเหตุผลว่า ทำไม DRAM จึงต้องการการรีชาร์ต

ซีพียูCPU

ความหมายเป็นคำที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ต้องรู้จัก ย่อมาจาก Central Processing Unit แปลว่า ตัวประมวลผลกลาง หมายถึงส่วนสมองของเครื่องคอมพิวเตอร์นั่นเอง ประกอบด้วยหน่วย ความจำ หน่วคำนวณ และหน่วยควบคุม เมื่อพูดถึง "ซีพียู" ของไมโครคอมพิว เตอร์ มักจะหมายถึงชิป (chip) ที่ใช้ ว่าเป็นเบอร์ 80286

มาจากคำว่า Centrซีพียูสร้างเมื่อ 10-01-2007 โดย minkymonky ซีพียู (CPU) หรือ ไมโครโปรเซสเซอร์ (Microprocessor) นั้น ย่อมาจากคำว่าCentral Processing Unit ซึ่ง หมายความว่าเป็นหน่วยประมวลผลกลาง ซึ่งเปรียบเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์ในการทำหน้าที่ตัดสินใจหรือคำนวณ จากคำสั่งที่ได้รับมา ถือเป็นหัวใจหลักในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ โดยพื้นฐานแล้วซีพียูทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลทางคณิตศาสตร์และข้อมูลเชิงตรรกะโดยมีกระบวนการพื้นฐานคือ อ่านชุดคำสั่ง (fetch) ซีพียู (CPU) หรือ ไมโครโปรเซสเซอร์ (Microprocessor) นั้น ย่อProcessing Unit ซึ่งหมายความว่าเป็นหน่วยประมวลผลกลาง ซึ่งเปรียบเสมือนสมองของคอมพิวเตอร์ในการทำหน้าที่ตัดสินใจหรือคำนวณ จากคำสั่งที่ได้รับมา ถือเป็นหัวใจหลักในการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ โดยพื้นฐานแล้วซีพียูทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลทางคณิตศาสตร์และข้อมูลเชิงตรรกะโดยมีกระบวนการพื้นฐานคือ

อ่านชุดคำสั่ง (fetch)
ตีความชุดคำสั่ง
(decode)
ผลชุดคำสั่ง
(execute)
อ่านข้อมูลจากหน่วยความจำ
(memory)
เขียนข้อมูล/ส่งผลการประมวลกลับ (write back)



สถาปัตยกรรมของหน่วยประมวลผลกลาง ประกอบไปด้วย ส่วนควบคุมการประมวลผล (control unit) และ ส่วนประมวลผล (execution unit)
และจะเก็บข้อมูลระหว่างการคำนวน ไว้ในระบบเรจิสเตอร์


ปัจจุบันนี้การแข่งขันกันด้าน CPU นั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในด้านของราคา
ประสิทธิภาพ รวมถึงความสามารถที่เพิ่มเติมเข้ามาใหม่ๆ
ทำให้เกิดการแข่งขันเพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดนั้นรุนแรงขึ้นทุกๆวัน ซึ่งเมื่อก่อนนั้น Intel เป็นผู้ครองตลาด CPU แต่เมื่อไม่นานมานี้ มีบริษัทที่แยกตัวออกมาจาก Intel และทำการผลิต CPU ของตนเอง
ใช้ชื่อบริษัทว่า AMD ( Advance Micro Device ) โดยแรกๆนั้นยังใช้ชื่อเสียงและสถาปัตยกรรมของ Intel เพื่อขอมีส่วนแบ่งในตลาด
แต่ต่อมาได้ออกแบบสถาปัตยกรรมของตนขึ้นมาจนกระทั่งปัจจุบันนั้นก็ได้มีส่วนแบ่งในตลาด CPU ที่สูงทัดเทียม กับทาง Intel แล้ว


Bandwidth
เป็นคำที่ใช้วัดความเร็วในการส่งข้อมูลของอินเทอร์เน็ต ซึ่งโดยมากเรามักวัดความเร็วของการส่งข้อมูลเป็น bps (bit per second) , Mbp (bps*1000000) เช่น Bandwidth ของการใช้สายโทรศัพท์ในประเทศไทย เท่ากับ 14.4 Kbps,Bandwidth ของสายส่งข้อมูลของ KSC ที่ใช้ในการเชื่อมต่อกับอเมริกาเท่ากับ 2 Mbps เป็นต้น แต่ก่อนที่เราจะเข้าสู่บทความมารู้จักก่อนว่าอะไรคือ Bandwidth และ Latency

ความหมายBandwidth

คือ ความกว้างของช่องทางในการรับ-ส่งข้อมูล ส่วน Latency คือ เวลาที่ใช้ไปในการเข้าถึงข้อมูลของหน่วยความจำ เมื่อเรารู้ความหมายกันแล้วคราวนี้เรามารู้จักถึงหลักการต่างๆ ของ Bandwidth และ Latency ในการพิจารณาการรับ-ส่งข้อมูลบนระบบบัสหลายคนมักจะนึกถึง Bus Bandwidth (Bandwidth ก็คือความกว้างของเส้นทางในการส่งข้อมูล ที่เราสามารถเปรียบเทียบได้กับเลนถนน ยิ่งมีเลนกว้างเท่าไรรถยนต์ซึ่งเปรียบได้กับข้อมูลก็สามารถวิ่งได้สะดวกมากขึ้นเท่านั้น) ที่ใช้ในการรับ-ส่งข้อมูล ซึ่งพิจารณาจากข้อมูลที่รับ-ส่งบนระบบบัส Bus Bandwidth ด้วยปริมาณจำนวนข้อมูลของเลข single number (0 หรือ 1) ที่ระบบบัสสามารถรองรับได้ แต่ปริมาณข้อมูลของเลข single number อาจแปรผันได้ตามเวลา เราจึงพิจารณาการรับ-ส่งข้อมูลผ่านทาง Bus Bandwidth ด้วย Peak bandwidth Bus หรือ ความกว้างสูงสุดในการรับ-ส่งข้อมูลของบัส ซึ่งวัดด้วยจำนวนข้อมูลสูงสุดที่ รับ-ส่งกันระหว่างซีพียูและแรมภายในหนึ่งคาบเวล จากความเร็วสัญญาณนาฬิการะหว่างหน่วยความจำและซีพียูจากรูปที่ 1 ถ้าเรามาคำนวณหา Bandwidth ของบัสที่มีความเร็วสัญญาณนาฬิการะหว่างหน่วยความจำและซีพียู ที่สัญญาณนาฬิกา 100 เมกะเฮิรตซ์ โดยที่มีการรับ-ส่งข้อมูลจำนวน 8 ไบต์ในแต่ละหนึ่งรอบของสัญญาณนาฬิกา จะคำนวณออกมาได้ดังนี้ 8 bytes * 100MHz = 800 MB/s และถ้าหากเราคำนวณหา Bandwidth ของบัสที่มีความเร็วสัญญาณนาฬิการะหว่างหน่วยความจำและซีพียูที่ 133 เมกะเฮิรตซ์ โดยที่มีการรับ-ส่งข้อมูลจำนวน 8 ไบต์ในแต่ละหนึ่งรอบสัญญาณนาฬิกา จะคำนวณออกมาได้ดังนี้ 8 bytes * 133MHz = 1064 MB/s ซึ่งตัวเลข Bandwidth ที่ได้นี้เป็นพียงตัวเลขทางทฤษฎีที่บอกถึงปริมาณของข้อมูลที่เข้าสู่ซีพียูในแต่ละวินาที

ในความเป็นจริง Bandwidth ของระบบจริงอาจมีค่าน้อยกว่าที่คำนวณเพียงเล็กน้อย Bandwidth ในทางปฏิบัติ ระบบบัสที่ผ่านมาจะมีลักษณะการส่งผ่านข้อมูลแบบทางเดียว จึงทำให้ไม่สามารถรับและส่งข้อมูลในเวลาเดียวกัน จึงต้องผลัดกันส่งและรับข้อมูลทำให้ความเร็วในการส่งผ่านข้อมูลช้า เปรียบเทียบระบบบัสได้กับการสื่อสารผ่านทางวิทยุรับส่งโดยที่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นฝ่ายพูดอีกฝ่ายจะต้องเป็นผู้รับฟัง เนื่องจากต้องผลัดกันรับส่งข้อมูลดังนั้นเมื่อซีพียูต้องการร้องข้อมูลจากหน่วยความจำหลัก (RAM) ซีพียูจะต้องร้องขอผ่านทาง Bus Control จากนั้น Bus Control จะร้องขอข้อมูลมาที่หน่วยความจำหลัก (RAM) เมื่อค้นหาข้อมูลที่ซีพียูต้องการได้แล้ว หน่วยความจำหลักจะส่งต่อข้อมูลให้ Bus Control กลับไปให้ซีพียู โดยทั้งหมดนี้กระทำบนบัสเดียวกัน ถ้าพิจารณาเวลาที่สูญเสียไปจากการร้องขอข้อมูลจาก Bus Control และที่ต้องเสียเวลารอหน่วยความจำหลักค้นหาข้อมูลที่ซีพียูต้องการแล้วจึงส่งข้อมูลที่ต้องการกลับไปสู่ Bus Control และส่งกลับไปสู่ซีพียูได้ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็น Delay Time ที่มีผลต่อค่า Read Latency โดยที่ Read Latency หมายถึง เวลาที่ใช้ระหว่างการร้องขอข้อมูลจากซีพียูผ่านทาง Frontside Bus (FSB)

สรุป ทฤษฎีของ Bandwidth นั้นได้ว่า ถ้าระบบบัสมี Bandwidth ที่กว้างก็ยิ่งจะดีต่อการรับ-ส่ง

ข้อมูล